วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

โครงงานสำรวจการผสมแป้งในผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต



 
บทที่ 1
บทนำ
1.1  ที่มาและความสำคัญ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการดื่มนมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนในทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิด จนเข้าสู่วัยชราเพราะในนมนั้นมีแคลเซียม โปรตีน และวิตามินแร่ธาตุมากมายซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกทั้งราคาไม่แพงเท่าอาหารเสริมบำรุงกระดูกรูปแบบอื่นด้วย   ทำให้ในปัจจุบันมีบริษัทผลิตนมโคทั้งยูเอชทีและแบบพาสเจอร์ไรส์เป็นจำนวนมาก แต่ในการกระบวนการผลิตนั้นผู้ประกอบการบางบริษัทอาจลดต้นทุนการผลิตโดยการใส่แป้งลงไปในสินค้าเพื่อเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค รวมทั้งผลิตภัณฑ์นม อาทิเช่น โยเกิร์ต ในบางรายอาจมีการผสมแป้งจนเกินสมควรอาจไม่ส่งดีต่อผู้บริโภคได้
คณะผู้จัดทำจึงทำโครงงานเรื่องการตรวจสอบแป้งในนมโคและโยเกิร์ตที่มีวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ 7-11
1.2   วัตถุประสงค์
เพื่อตรวจสอบแป้งในนมโคและโยเกิร์ตที่มีวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ 7-11 สาขาสยามอังรีดูนังต์
1.3   สมมติฐาน
ในนมและโยเกิร์ตมีส่วนผสมของแป้งเล็กน้อยโดยโยเกิร์ตมีมากกว่านมโค
1.4   ตัวแปร
-          ตัวแปรต้น
นมโคและโยเกิร์ตที่มีวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ 7-11 สาขาสยามอังรีดูนังต์
-          ตัวแปรตาม
การเปลี่ยนสีของสารละลายไอโอดีน
-          ตัวแปรควบคุม
ปริมาณของนมโคและโยเกิร์ต
จำนวนหยดของสารไอโอดีน
1.5   นิยามศัพท์เฉพาะ
การเจือปนของแป้งในนมโคและโยเกิร์ต หมายถึง การมีส่วนผสมของแป้งในสินค้านั้นๆ โดยให้ผลจากการเปลี่ยนสีของสารละลายไอโอดีนจากสีน้ำตาลเป็นสีน้ำเงินเข้ม
นมโค หมายถึง นมยูเอชทีและพาสเจอร์ไรส์รสจืด โดยข้างกล่องระบุไว้ว่า นมโคแท้ 100%
โยเกิร์ต ศึกษาเฉพาะโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
1.6  ขอบเขตของการดำเนินงาน
นมโคและโยเกิร์ตที่ใช้ในการตรวจสอบวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ 7-11 สาขาสยามอังรีดูนังต์
สถานที่ทำการทดลองที่ห้องปฏิบัติการ ห้อง 811 ตึกคุณหญิงหรั่ง กันตารัติ
วันเวลาที่ทำการทดลอง 29 สิงหาคม 2559 เวลา 16.30 – 18.00 .


บทที่ 2
เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากนมโคและโยเกิร์ตยี่ห้อต่างๆในปัจจุบันได้มีการผสมแป้งลงในนม แทนการใช้นมโคแท้เพื่อลดต้นทุนการผลิต กลุ่มของเราจึงได้ศึกษาวิธีในการหาคำตอบว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใดผสมแป้ง โดยการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ในการหาคำตอบ
หลอดด้านซ้าย พบแป้งในสารละลาย
หลอดด้านขวา ไม่พบแป้งในสารละลาย


การทดสอบแป้ง
ทดสอบโดยใช้สารละลายไอโอดีน (I2) โดยปกติสารละลายไอโอดีนมีสีเหลืองหรือน้ำตาล หากนำไปทดสอบกับแป้ง สารนี้จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับขดของแป้งที่ทำให้เกิดสารเชิงซ้อนสีน้ำเงินเข้มหรือสีม่วงดำ จึงเห็นการเปลี่ยนสีของสารละลายจากสีน้ำตาลเหลืองเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือม่วงดำ                                                                       

ปฏิกิริยาของไอโอดีนและแป้ง

ปกติแล้วแป้งมีองค์ประกอบของพอลิเมอร์ 2 ชนิดด้วยกัน คือ amylose ซึ่งมี α-(1,4) glycosidic bond และ amylopectin ซึ่งมี α-(1,6) glycosidic bond แต่ตัวที่มีการทำปฏิกิริยาคือ amylose เนื่องจากมี α-(1,4) glycosidic bond เชื่อมกันระหว่างมอนอเมอร์ที่เป็นน้ำตาล D-glucose (C6H12O6) ซึ่งมีจำนวนตั้งแต่ 300 ถึง 3000 โมเลกุลของ D-glucose มีลักษณะ 3 แบบ คือ disordered amorphous, double helix A, double helix B ซึ่ง double helix A และ B ตามปกติจะเป็น V6 form คือในการวน 1 รอบมี D-glucose 6 โมเลกุล ในบางครั้งอาจพบ V7 และ V8 จะมีลักษณะบิดเป็นเกลียวเนื่องจากอิทธิพลของพันธะไฮโดรเจน-ออกซิเจนระหว่างโมเลกุลซึ่งมีพลังงานแตกตัวประมาณ 5 kcal/mol ซึ่งทำให้เกิดการหมุนของมุม φ และ ψ ทำให้มีการเปลี่ยน dihedral angle (torsion angle) จึงทำให้เมื่อ I3- จากสารละลายไอโอดีน ซึ่งเป็น hydrophobic guest เข้ามา จะไปสอดอยู่ในช่องว่างของเกลียวและเกิดการแลกเปลี่ยนประจุไปมา เกิดเป็นสีม่วงดำ

 


 ภาพแสดงโครงสร้างของโมเลกุลสารประกอบเชิงซ้อนที่ได้จากการเติมไอโอดีนในแป้ง

  

บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน
สภาพปัญหาที่พบ
ไม่ได้พบปัญหาใดๆ นมที่ผสมแป้งไม่ได้ทำอันตรายแก่ร่างกายแต่อย่างใด เพียงแต่หากเรารับประทานนมที่มีการผสมแป้งลงในนมโคบ่อยครั้ง อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ และเสียสิทธิที่ผู้บริโภคควรจะได้รับ
วิธีการตรวจสอบ
1. เตรียมอุปกรณ์ ดังนี้
1. นมยี่ห้อหนองโพ โฟร์โมสต์ แมกโนเลีย เมจิ และโยเกิร์ตยี่ห้อดัชชี่ เมจิ
2. บีกเกอร์ขนาด 100 ml
3. สารละลายไอโอดีน (Iodine solution) เข้มข้น 1 %
4. หลอดหยดสาร (dropper)
5. แท่งแก้วคนสาร (stirring rod)
6. แป้ง (ชุดควบคุม)
7. ตะเกียงแอลกอฮอล์
2. ใส่นมและโยเกิร์ตลงในบีกเกอร์ต่างๆ โดยนมใช้ปริมาตร 50 ml และใช้โยเกิร์ต 30 ml
3. หยดสารละลายไอโอดีนลงในแต่ละบีกเกอร์ 10 หยด สังเกตสีที่เปลี่ยนแปลง
4. บันทึกผล
  
  
บทที่ 4
ผลการทดลอง
1. นม
ลำดับที่
ยี่ห้อ
รูปจากการทดลอง
สีที่ได้หลังการหยดสารละลายไอโอดีน
พบแป้งหรือไม่
1
หนองโพ

 
  
ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม




ไม่พบ
2
โฟร์โมสต์



ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม

ไม่พบ
3
แมกโนเลีย



ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม

ไม่พบ
4
เมจิ



ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม

ไม่พบ
2. โยเกิร์ต
ลำดับที่
ยี่ห้อ
รูปจากการทดลอง
สีที่ได้หลังการหยดสารละลายไอโอดีน
พบแป้งหรือไม่
1
ดัชชี่
รสออริจินัล




เปลี่ยนจากสีน้ำตาลเหลืองเป็นสีม่วงคราม
พบ
2
เมจิ




ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม

ไม่พบ

ชุดควบคุม
1. นำน้ำผสมแป้งรวม 50 ลูกบาศก์มิลลิลิตร ไปต้มโดยให้ความร้อนจากตะเกียงแอลกอฮอล์
2. ให้ความร้อนกระทั่งกลายเป็นน้ำแป้งสุก
3. หยดสารละลายไอโอดีน 10 หยด
4. สังเกตการเปลี่ยนแปง

















 








พบว่าบีกเกอร์ที่มีแป้ง สารละลายไอโอดีนจะเปลี่ยนสีจากสีน้ำตาลเหลืองเป็นสีม่วงเข้ม

บทที่ 5
สรุปผลการทดลองและข้อเสนอแนะ

สรุปผลการทดลอง
ในขอบเขตที่กลุ่มของพวกเราศึกษา พบว่าในนมทุกยี่ห้อที่นำมาศึกษาไม่มีการผสมแป้งลงไป แต่ในโยเกิร์ต มีโยเกิร์ตยี่ห้อดัชชี่รสออริจินัล มีการผสมแป้งลงไปเล็กน้อย เนื่องจากสีที่ปรากฏเป็นสีม่วงคราม ไม่ใช่ม่วงเข้มซึ่งเป็นแป้งปริมาณมากเหมือนในการทดลองชุดควบคุม

ข้อเสนอแนะ

ควรขยายขอบเขตของสินค้า ให้มียี่ห้อของนมและโยเกิร์ตเพิ่มขึ้น รวมถึงการทดสอบในอาหารชนิดอื่นด้วย เช่นในไอศกรีมเป็นต้น และอาจทดสอบสารอย่างอื่นร่วมด้วย เช่นปริมาณน้ำตาลในอาหาร ปริมาณ Ca2+ ในนมเป็นต้น