บทที่ 1
บทนำ
1.1 ที่มาและความสำคัญ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการดื่มนมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนในทุกเพศ
ทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิด จนเข้าสู่วัยชราเพราะในนมนั้นมีแคลเซียม โปรตีน และวิตามินแร่ธาตุมากมายซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกทั้งราคาไม่แพงเท่าอาหารเสริมบำรุงกระดูกรูปแบบอื่นด้วย
ทำให้ในปัจจุบันมีบริษัทผลิตนมโคทั้งยูเอชทีและแบบพาสเจอร์ไรส์เป็นจำนวนมาก
แต่ในการกระบวนการผลิตนั้นผู้ประกอบการบางบริษัทอาจลดต้นทุนการผลิตโดยการใส่แป้งลงไปในสินค้าเพื่อเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค
รวมทั้งผลิตภัณฑ์นม อาทิเช่น โยเกิร์ต
ในบางรายอาจมีการผสมแป้งจนเกินสมควรอาจไม่ส่งดีต่อผู้บริโภคได้
คณะผู้จัดทำจึงทำโครงงานเรื่องการตรวจสอบแป้งในนมโคและโยเกิร์ตที่มีวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ
7-11
1.2 วัตถุประสงค์
เพื่อตรวจสอบแป้งในนมโคและโยเกิร์ตที่มีวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ
7-11 สาขาสยามอังรีดูนังต์
1.3 สมมติฐาน
ในนมและโยเกิร์ตมีส่วนผสมของแป้งเล็กน้อยโดยโยเกิร์ตมีมากกว่านมโค
1.4 ตัวแปร
-
ตัวแปรต้น
นมโคและโยเกิร์ตที่มีวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ
7-11
สาขาสยามอังรีดูนังต์
-
ตัวแปรตาม
การเปลี่ยนสีของสารละลายไอโอดีน
-
ตัวแปรควบคุม
ปริมาณของนมโคและโยเกิร์ต
จำนวนหยดของสารไอโอดีน
1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ
การเจือปนของแป้งในนมโคและโยเกิร์ต
หมายถึง การมีส่วนผสมของแป้งในสินค้านั้นๆ
โดยให้ผลจากการเปลี่ยนสีของสารละลายไอโอดีนจากสีน้ำตาลเป็นสีน้ำเงินเข้ม
นมโค หมายถึง
นมยูเอชทีและพาสเจอร์ไรส์รสจืด โดยข้างกล่องระบุไว้ว่า นมโคแท้ 100%
โยเกิร์ต ศึกษาเฉพาะโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
1.6 ขอบเขตของการดำเนินงาน
นมโคและโยเกิร์ตที่ใช้ในการตรวจสอบวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ
7-11
สาขาสยามอังรีดูนังต์
สถานที่ทำการทดลองที่ห้องปฏิบัติการ
ห้อง 811 ตึกคุณหญิงหรั่ง
กันตารัติ
วันเวลาที่ทำการทดลอง
29 สิงหาคม 2559
เวลา 16.30
– 18.00 น.
บทที่ 2
เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากนมโคและโยเกิร์ตยี่ห้อต่างๆในปัจจุบันได้มีการผสมแป้งลงในนม
แทนการใช้นมโคแท้เพื่อลดต้นทุนการผลิต กลุ่มของเราจึงได้ศึกษาวิธีในการหาคำตอบว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใดผสมแป้ง
โดยการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ในการหาคำตอบ
หลอดด้านซ้าย พบแป้งในสารละลาย
หลอดด้านขวา ไม่พบแป้งในสารละลาย
ทดสอบโดยใช้สารละลายไอโอดีน (I2) โดยปกติสารละลายไอโอดีนมีสีเหลืองหรือน้ำตาล
หากนำไปทดสอบกับแป้ง สารนี้จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับขดของแป้งที่ทำให้เกิดสารเชิงซ้อนสีน้ำเงินเข้มหรือสีม่วงดำ
จึงเห็นการเปลี่ยนสีของสารละลายจากสีน้ำตาลเหลืองเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือม่วงดำ
ปฏิกิริยาของไอโอดีนและแป้ง
ปกติแล้วแป้งมีองค์ประกอบของพอลิเมอร์ 2 ชนิดด้วยกัน คือ amylose ซึ่งมี α-(1,4) glycosidic bond และ amylopectin ซึ่งมี α-(1,6) glycosidic bond แต่ตัวที่มีการทำปฏิกิริยาคือ amylose เนื่องจากมี α-(1,4) glycosidic bond เชื่อมกันระหว่างมอนอเมอร์ที่เป็นน้ำตาล D-glucose (C6H12O6) ซึ่งมีจำนวนตั้งแต่ 300 ถึง 3000 โมเลกุลของ D-glucose มีลักษณะ 3 แบบ คือ disordered amorphous, double helix A, double helix B ซึ่ง double helix A และ B ตามปกติจะเป็น V6 form คือในการวน 1 รอบมี D-glucose 6 โมเลกุล ในบางครั้งอาจพบ V7 และ V8 จะมีลักษณะบิดเป็นเกลียวเนื่องจากอิทธิพลของพันธะไฮโดรเจน-ออกซิเจนระหว่างโมเลกุลซึ่งมีพลังงานแตกตัวประมาณ 5 kcal/mol ซึ่งทำให้เกิดการหมุนของมุม φ และ ψ ทำให้มีการเปลี่ยน dihedral angle (torsion angle) จึงทำให้เมื่อ I3- จากสารละลายไอโอดีน ซึ่งเป็น hydrophobic guest เข้ามา จะไปสอดอยู่ในช่องว่างของเกลียวและเกิดการแลกเปลี่ยนประจุไปมา เกิดเป็นสีม่วงดำ
ภาพแสดงโครงสร้างของโมเลกุลสารประกอบเชิงซ้อนที่ได้จากการเติมไอโอดีนในแป้ง
บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน
สภาพปัญหาที่พบ
ไม่ได้พบปัญหาใดๆ นมที่ผสมแป้งไม่ได้ทำอันตรายแก่ร่างกายแต่อย่างใด
เพียงแต่หากเรารับประทานนมที่มีการผสมแป้งลงในนมโคบ่อยครั้ง
อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ และเสียสิทธิที่ผู้บริโภคควรจะได้รับ
วิธีการตรวจสอบ
1. เตรียมอุปกรณ์ ดังนี้
1. นมยี่ห้อหนองโพ
โฟร์โมสต์ แมกโนเลีย เมจิ และโยเกิร์ตยี่ห้อดัชชี่ เมจิ
2. บีกเกอร์ขนาด
100 ml
3. สารละลายไอโอดีน
(Iodine solution) เข้มข้น
1 %
4. หลอดหยดสาร (dropper)
5. แท่งแก้วคนสาร
(stirring rod)
6.
แป้ง (ชุดควบคุม)
7. ตะเกียงแอลกอฮอล์
2. ใส่นมและโยเกิร์ตลงในบีกเกอร์ต่างๆ
โดยนมใช้ปริมาตร 50 ml และใช้โยเกิร์ต 30 ml
3. หยดสารละลายไอโอดีนลงในแต่ละบีกเกอร์
10 หยด สังเกตสีที่เปลี่ยนแปลง
4. บันทึกผล
บทที่ 4
ผลการทดลอง
1. นม
ลำดับที่
|
ยี่ห้อ
|
รูปจากการทดลอง
|
สีที่ได้หลังการหยดสารละลายไอโอดีน
|
พบแป้งหรือไม่
|
1
|
หนองโพ
|
|
ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม
|
ไม่พบ
|
2
|
โฟร์โมสต์
|
|
ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม
|
ไม่พบ
|
3
|
แมกโนเลีย
|
|
ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม
|
ไม่พบ
|
4
|
เมจิ
|
|
ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม
|
ไม่พบ
|
2. โยเกิร์ต
ลำดับที่
|
ยี่ห้อ
|
รูปจากการทดลอง
|
สีที่ได้หลังการหยดสารละลายไอโอดีน
|
พบแป้งหรือไม่
|
1
|
ดัชชี่
รสออริจินัล
|
|
เปลี่ยนจากสีน้ำตาลเหลืองเป็นสีม่วงคราม
|
พบ
|
2
|
เมจิ
|
|
ได้สีน้ำตาลเหลืองของไอโอดีนเหมือนเดิม
|
ไม่พบ
|
ชุดควบคุม
1. นำน้ำผสมแป้งรวม 50 ลูกบาศก์มิลลิลิตร
ไปต้มโดยให้ความร้อนจากตะเกียงแอลกอฮอล์
2. ให้ความร้อนกระทั่งกลายเป็นน้ำแป้งสุก
3.
หยดสารละลายไอโอดีน 10 หยด
พบว่าบีกเกอร์ที่มีแป้ง
สารละลายไอโอดีนจะเปลี่ยนสีจากสีน้ำตาลเหลืองเป็นสีม่วงเข้ม
บทที่ 5
สรุปผลการทดลองและข้อเสนอแนะ
สรุปผลการทดลอง
ในขอบเขตที่กลุ่มของพวกเราศึกษา
พบว่าในนมทุกยี่ห้อที่นำมาศึกษาไม่มีการผสมแป้งลงไป แต่ในโยเกิร์ต
มีโยเกิร์ตยี่ห้อดัชชี่รสออริจินัล มีการผสมแป้งลงไปเล็กน้อย
เนื่องจากสีที่ปรากฏเป็นสีม่วงคราม
ไม่ใช่ม่วงเข้มซึ่งเป็นแป้งปริมาณมากเหมือนในการทดลองชุดควบคุม
ข้อเสนอแนะ
ควรขยายขอบเขตของสินค้า
ให้มียี่ห้อของนมและโยเกิร์ตเพิ่มขึ้น รวมถึงการทดสอบในอาหารชนิดอื่นด้วย
เช่นในไอศกรีมเป็นต้น และอาจทดสอบสารอย่างอื่นร่วมด้วย เช่นปริมาณน้ำตาลในอาหาร
ปริมาณ Ca2+
ในนมเป็นต้น